วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (Butterfly Effect)

หลายคนอาจจะเคยได้ยินสำนวนที่ว่า "น้ำผึ้งหยดเดียว" หรือวลีที่ว่า "เด็ดดอกไม่สะเทือนถึงดวงดาว" ซึ่งทั้งสองอย่างที่กล่าวมานั้น หมายถึง สิ่งเล็กๆที่ดูแล้วไม่น่าจะทำให้เกิดอะไรได้ แต่มันกลับส่งผลกระทบที่ยิ่งใหญ่มากๆ ดั่งเช่น ผีเสื้อธรรมดาตัวนึงกระพือปีก แม้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศแค่นิดเดียว แต่ภายหลังมันอาจก่อให้เกิดพายุทอร์นาโดได้นั่นเอง



สำหรับที่มาของชื่อ Butterfly Effect จริงๆแล้วนั้น ไม่ได้มาจากผีเสื้อกระพือปีก "พับ พับ พับ" แล้วเกิดเป็นพายุทอร์นาโดแบบรูปข้างบนหรอกครับ แต่หมายถึงสมการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ของศาสตราจารย์ Edward N. Lorenz ที่แสดงผลเป็นกราฟรูปผีเสื้อนั่นเองครับ


ซึ่งนายเอ็ดเวิร์ดเนี่ย เขาเป็นนักคณิตศาสตร์กับนักอุตอนิยมวิทยาครับ โดยความบังเอิญก็คือเขาได้ออกแบบและจำลองคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในการพยากรณ์อากาศ เมื่อปี ค.ศ.1961 เวลาจะคำนวณข้อมูลเพื่อพยากรณ์อากาศ เขาจะต้องกรอกตัวเลขเพื่อคำนวณ เมื่อเขาต้องการดูผลพยากรณ์ซ้ำ จึงต้องคำนวณอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่อยากเสียเวลาจากการกรอกตัวเลขซ้ำๆ ทศนิยมหลายๆ หลัก จึงใช้ตัวเลขที่ได้บันทึกไว้ลงในแบบจำลองมาใช้อีกรอบและตัดเศษทศนิยมทิ้งไปให้เป็นตัวเลขสั้นๆ จาก 0.506127 เป็น 0.506 เพื่อให้คำนวณได้เร็วขึ้น ซึ่ง 0.000127 เป็นตัวเลขที่น้อยมากเพียงแค่หนึ่งในหมื่นเท่านั้นเอง แต่พอกลับไปดูผลการจำลองสภาพอากาศ ปรากฏว่าสภาพอากาศที่ออกมาครั้งแรกกับครั้งที่สองแตกต่างกันมากๆแบบสุดขั้วเลยครับ แบบไม่น่าเกิดจากการปัดเลขหนึ่งในหมื่นทิ้งไปอะครับ


อ่านมาถึงตอนนี้ หลายๆคนคงจะพอเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีนี้แล้วนะครับ เอาล่ะ ในเมื่ออธิบายด้านวิทยาศาสตร์ไปแล้ว ลองมาดูด้านของคณิตศาสตร์กันบ้างดีกว่าครับ ครูท่านหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นติดสมการไว้หน้าห้องเรียน โดยเป็นการเปรียบเทียบการยกกำลังของเลข 2 จำนวน นั่นก็คือ 1.01 กับ 0.99


เลขสองจำนวนนี้ มีความแตกต่างกันเพียงแค่ 0.02 เท่านั้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้มานั้นกลับแตกต่างกันลิบลับ

จากทฤษฎีนี้ แสดงให้เห็นว่า สิ่งต่างๆที่เราไม่คิดว่าจะมีผลอะไร แต่ในวันใดวันหนึ่งมันอาจจะส่งผลต่อชิวิตเราอย่างใหญ่หลวงก็ได้ เพราะฉนั้นเวลาจะคิดหรือทำอะไรก็ขอให้รอบคอบกันให้มากๆด้วยนะครับ เพื่อลดความเสี่ยงของผลกระทบต่างๆในอนาคต


ทฤษฎีความอลวน (Chaos Theory)

หลังจากปล่อยให้บล็อคร้างมา1อาทิตย์เพราะความขี้เกียจ เอ้ย เพราะงานยุ่งมากกกก แต่อาทิตย์นี้ผมกลับมาแล้วครับ กลับมาพร้อมกับทฤษฎีที่น่าสนใจถึง2ทฤษฎีเลยทีเดียว เอาล่ะ ไม่พูดพร่ำทำเพลง เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ

Chaos Theory ที่มีชื่อไทยว่า ทฤษฎีความอลวน หรือ ทฤษฎีความไร้ระเบียบ หรือ ทฤษฎีความโกลาหล หรืออะไรก็ช่างมันเหอะครับ เอาเป็นว่าเรามาเริ่มที่คลิปนี้กันดีกว่าครับ


โดย Chaos Theory เป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงลักษณะพฤติกรรมของระบบพลวัต (คือ ระบบที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น เปลี่ยนแปลงตามเวลาที่เปลี่ยนไป) โดยลักษณะการเปลี่ยนแปลงของระบบที่เรียกว่าเคออสนี้ จะมีลักษณะที่ปั่นป่วนจนดูคล้ายว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ (random/stochastic) แต่จริง ๆ แล้ว ระบบเคออสนี้เป็นระบบแบบไม่สุ่ม หรือระบบที่มีระเบียบ (deterministic) สำหรับตัวอย่างที่เราน่าจะคุ้นเคยกันก็น่าจะเป็น Brownian Motion นั่นเองครับ



ในทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ คำจำกัดความของระบบเคออส คือ ระบบไม่เชิงเส้น (nonlinear system) ประเภทหนึ่ง ที่มีความไวต่อสภาวะเริ่มต้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าระบบ 2 ระบบนั้นเริ่มต้นจากสภาวะที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย คือเกือบจะเหมือนกันทุกประการ เมื่อระบบได้มีการเปลี่ยนไปสักระยะหนึ่ง สภาวะของระบบทั้งสองที่เราสังเกตได้เมื่อเวลาผ่านไปจะแตกต่างกันอย่างสังเกตเห็นได้ชัด ตัวอย่างที่สามารถอะิบายได้อย่างชัดเจนนั่นก็คือ double pendulum ที่เมื่อเราเปลี่ยนองศาเพียงนิดเดียวแต่ทำให้รูปแบบการเหวี่ยงเปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง


สรุปก็คือ Chaos Theory นั้นอธิบายถึงการเกิดของเหตุการณ์ต่างๆที่มีค่าตั้งต้นที่ต่างกันนิดเดียว แต่ทำให้ผลลัพธ์ต่างกันอย่างมาก เช่นตัวอย่าง N-body Gravitational problem ที่มีดวงอาทิตย์สองดวงและ มีดาวเคราะห์สองดวงสีแดงกับสีเขียว ซึ่งตอนเริ่มต้นดาวเคราะห์สองดวงนี้อยู่ใกล้กันมากๆ แทบจะเป็นจุดเดียวกันเลย แต่พอเวลาผ่านไปไม่นานตำแหน่งของดาวเคราะห์สองดวงนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดาวสีแดงพุ่งไปทางดวงอาทิตย์ที่ 1 ดาวสีเขียวอยู่กับดวงอาทิตย์ที่ 2 นี่เป็นระบบที่แสดงคุณสมบัติ chaos ชัดเจนครับ

สำหรับใครที่อยากลองเล่น Simulator นี้ก็เข้าไปได้ที่นี่เลยครับ

สำหรับเรื่องต่อไปผมจะเข้าสู่เรื่องของ Butterfly Effect ครับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Chaos Theory นั่นเองครับ 

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)

วันอาทิตย์ 1 วันหลังงานวันเกิดโรงเรียน BCC163rd Anniversary ในเวลาตอนบ่ายๆ ที่ผมตื่นขึ้นมา หลังจากการสลบไปเป็นเวลาเกือบๆ 12 ชั่วโมง จากความเหนื่อยล้าในการทำงาน และจากคอนเสิร์ต ผมรู้สึกขี้เกียจทำการบ้าน ขี้เกียจอ่านหนังสือ ผมก็เลยเปิดคลังหนังของตัวเอง แล้วก็ได้ไปเจอกับหนังเรื่องหนึ่งที่โหลดทิ้งไว้นั่นก็คือเรื่อง "Her" ซึ่งเป็นเรื่องราวของโลกอนาคตที่ผู้คนต่างฝากชีวิตไว้กับเทคโนโลยี ธีโอดอร์ นักเขียนหนุ่มที่เพิ่งเลิกกับแฟนสาวไปหมาดๆ เวลาไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย แต่เวลากลับทำร้ายจิตใจของเขาให้เจ็บช้ำไปมากกว่าเดิม เชาใช้ชีวิตอย่างไรจุดหมาย จนกระทั่ง วันหนึ่งเขาได้สั่งซื้อระบบปฏิบัติการอัจฉริยะที่มีชื่อว่า "OS1" เป็นระบบปฏิบัติการที่ตั้งโปรแกรมให้มีผู้ช่วยที่แสนฉลาด และมีความคิดที่ใกล้เคียงมนุษย์มากที่สุด เธอมีชื่อว่า ซาแมนต้า และเธอก็ได้รับใช้ธีโอดอร์อย่างเต็มที่ รวมถึงการเป็นเพื่อนแก้เหงาของเขา เมื่อเวลาผ่านไปเขามีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นกับผู้ช่วยอิเล็กโทรนิคคนนี้ ทั้งๆ ที่เขาเองก็ไม่เคยเห็นหน้าเธอ ได้ยินเพียงแค่เสียง ในขณะที่เธอเองก็ได้พัฒนาความคิดของเธอเองอย่างต่อเนื่อง เริ่มมีความรู้สึกนึกคิดที่เหมือนมนุษย์มากขึ้น และเกิดความรู้สึกที่ประหลาดๆ นี้เช่นกัน
ความเหงาและความสับสนในใจ จะก่อให้เกิดเป็นความรักที่แปลกประหลาดแต่ไร้ข้อจำกัดนี้ไปได้หรือไม่


หลังจากที่ได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว ผมก็ได้คิดว่า ไอ้AI หรือในคำศัพท์บัญญัติที่แปลว่า "ปัญญาประดิษฐ์" เนี่ย มันคืออะไร ผมก็เลยไปหาไรกิน แล้วก็กลับมาหาข้อมูลที่เกี่ยวกับ AI และสรุปคร่าวๆได้ว่า


ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) คือ การพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ ให้มีพฤติกรรมเหมือนคน โดยเฉพาะความสามารถในการเรียนรู้และความสามารถทางประสาทสัมผัสซึ่งเลียนแบบการเรียนรู้และการตัดสินใจของมนุษย์ หรือว่าง่ายๆก็คือ "ระบบโง่ๆ ที่ถูกทำให้มีความใกล้เคียงตวามเป็นมนุษย์มากที่สุด"


ได้มีการนำ AI มาใช้เป็นครั้งแรกในช่วงกลางทศวรรษที่ 1950 โดย John McCarthy มีลักษณะเป็นตัวประมวลโปรแกรมการใช้งาน (Software Processor) ซึ่งทำงานภายใต้สัญลักษณ์ และเครื่องหมายมากกว่าเรื่องของตัวเลข โดย AI พัฒนามาจากหลายสาขาวิชา ประกอบด้วย 
  1. สาขาวิชาคณิตศาสตร์จะเกี่ยวข้องกับเรื่องการพิสูจน์ทฤษฏีต่าง ๆ และในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนด้านเกมต่าง ๆ เช่น การเล่นโอเอกซ์ (O,X) หมากรุกฝรั่ง 
  2. สาขาจิตวิทยาในเรื่องการฟังและการวิเคราะห์ปัญหาทางจิต ซึ่งการพัฒนาสิ่งดังกล่าวเกิดขึ้นโดยผ่านผู้เชี่ยวชาญ (Experts)



โดย AI สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
  1. Artificial Narrow Intelligence (Weak AI)
  2. Artificial General Intelligence (Strong AI)
  3. Artificial Superintelligence
ซึ่งผมก็มีคลิปที่อธิบายเกี่ยวกับประเภทของ AI มาให้ดูกันครับ





วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

The Change Company

อ่านเรื่องที่ดูเป็นวิทยาศาสตร์มาก็เยอะแล้ว สำหรับในweekนี้ ผมขอเสนอเรื่องเกี่ยวกับซีรีส์ที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษกันดีกว่าครับ นั่นก็คือเรื่อง...



"The Change Company" หรือ "ฝัน เปลี่ยน โลก" คือชื่อของซีรีส์เรื่องหนึ่ง ที่ออกอากาศผ่านทางช่อง Thaipbs เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กมหาลัยคนหนึ่ง ที่คิดอยากจะ "เปลี่ยน" แต่สิ่งที่เด็กคนนี้อยากจะเปลี่ยน ไม่ใช่แค่เปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็กทารก แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงประเทศ โดยเริ่มจากในมหาลัยที่เขาเรียนอยู่ก่อน เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน The Change Company ฝัน เปลี่ยน โลก


สำหรับเรื่องนี้ ผมได้ไปเจอจากในเพจ รับน้องสร้างสรรค์ ซึ่งได้โพสต์คลิปเกี่ยวกับเด็กปี 1 ที่ไม่เห็นด้วยกับการรับน้องแบบโซตัส จึงได้ทำการต่อต้าน และคลิปนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของ EP.1 ในเรื่อง ซึ่งเป็นจุดเรื่องต้นของการ "เปลี่ยน" นั่นเอง


ตัวเอกของเรื่องชิ่อ "ต้น" ต้นเติบโตมาในครอบครัวที่มีพ่อเป็นนักการเมือง และกำพร้าแม่ตั้งแต่เด็กๆ ต้นถูกพ่อสอนให้มองโลกตามความจริง ถูกก็ว่าถูก ผิดก็ว่าผิด ต้นเรียน กศน. และสอบเทียบเข้ามาในมหาลัยที่มีชื่อว่า มหาวิทยาลัยราษฏร ในคณะสังคมศาสตร์ และสิ่งแรกที่ต้นคิดจะเปลี่ยน นั่นก็คือ มหาวิทยาลัยราษฎร แห่งนี้ นี่เองงง 



แต่การที่คิดจะทำการใหญ่ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ "เพื่อน" มีประโยคหนึ่งในซีรีส์ได้กล่าวไว้ว่า "เพราะการเปลี่ยนแปลงไม่สามารถทำได้โดยตัวคนเดียว" จึงเป็นจุดเริ่มต้นของกลุ่มเล็กๆ ที่ชื่อว่า "The Change Company" กลุ่มของคนที่ต้องการจะ "เปลี่ยน"



ซึ่งมหาลัยแห่งนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากลภายในอยู่ และเมื่อ The Change Company คิดจะทำอะไร มักจะมีอำนาจภายในมาแทรกแซงอยู่เสมอ เหล่า The Change Company จึงต้องต่อสู้กับการเมืองภายในมหาลัย เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามได้ใน The Change Company ฝัน เปลี่ยน โลก ทาง Youtube Channel Wakeup Rabbit แล้ววันนี้



คุณจะอยู่เฉยๆ... หรือสู้เพื่อเปลี่ยนแปลง แล้วโตเป็นผู้ใหญ่ในแบบที่เราอยากเป็น


ติดตามพวกเขาได้ทาง https://www.facebook.com/thechangecompanyseries
สำหรับวันนี้ลาไปก่อย สวัสดีคนับ...

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Esports คืออะไร

กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
กีฬามีมากมายหลายประเภท ทั้งในร่ม กลางแจ้ง แต่ในบทความนี้ ผมจะพูดถึงกีฬาที่เล่นในร่ม แต่ไม่ถือว่าเป็นกีฬาในร่ม นั่นก็คือ กีฬา Esports นั่นเอง ซึ่งถ้าพูดให้เข้าใจกันง่ายๆก็คือ "แข่งเกม" นั่นแหละครับ



หลายๆคนอาจจะนึกไม่ถึงว่า แค่การที่นั่งหน้าคอม เล่นแต่เกมมันจะสามารถเล่นเป็นอาชีพได้จริงหรือ เราจะมาหาคำตอบไปพร้อมๆกันคนับ...



จริงๆแล้ว ไอการแข่งขัน Esports เนี่ยมันมีมานานแล้วครับ ตั้งแต่ยุคของเกม Ragnarok, Warcraft, Starcraft และอื่นๆ แต่ในสมัยก่อน ยังไม่มีการเปิดกว้าง และมูลค่าของเงินรางวัลยังคงน้อยอยู่ การเเข่งเกมจึงเป็นเพียงแค่ อาชีพเสริม หรืองานอดิเรก ที่ทำไปควบคู่กับอาชีพหลักเท่านั้น แต่เมื่อไม่นานมานี้ วงการ Esports ได้มีการเปิดกว้างมากขึ้น อาจจะมีผลจาก เกมที่มีผู้เล่นสนใจมากขึ้น และมีผู้ลงทุนที่สนใตในการลงทุนเกี่ยวกับวงการเกมมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ชัดในประเทศหลายๆประเทศ เช่น อเมริกา จีน เกาหลี และหลายๆประเทศในโซนยุโรป ที่ได้มีการจัดแข่งขันกันแบบจริงจังมากขึ้น และเงินรางวัลที่มากขึ้น ในบางงานอาจจะมากกว่าเงินรางวัลของการแข่งขันกีฬาอื่นๆอีกด้วย


จากกราฟจะเห็นได้ว่า เงินรางวัลที่มากที่สุด เป็นของการแข่งขันเกม Dota 2 ในงาน The International 4 ซึ่งจัดขึ้นในปี 2014 โดยได้มีการขายไอเท็มในเกมโดยส่วนหนึ่งจะไปเป็นเงินรางวัลของ Tournament นี้ จะเห็นได้ว่า มีมากถึง 6.2 ล้านดอลลาร์ แต่ในกราฟยังเป็นตัวเลขที่ยังไม่ได้สรุป ซึ่งเลขที่สรุปออกมามีมูลค่ากว่า 10.93 ล้านดอลลาร์ และในปีนี้ ก็ได้มีการจัดขึ้นอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 5 ซึ่ง ณ ปัจจุบัน เงินรางวัลรวมมีมูลค่า 18 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าของปีที่แล้วกว่าเท่าตัว แสดงให้เป็นถึงการเติบโตของวงการ Esports ทั่วโลก ยังไม่นับรวมของเกมอื่นๆ เช่น Starcraft II, League of Legends, Counter Strike : Global Offensive, FIFA และอื่นอีกมากมาย ที่มีการแข่งขันตลอดปี รวมทั้งมีสปอนเซอร์ที่คอยสนับสนุนทีมต่างๆด้วย


ด้วยสาเหตุเหล่านี้ ทำให้มีเหล่านักเล่นเกมเป็นจำนวนมาก ลาออกจากงานที่ทำอยู่ประจำ แล้วหันมาเล่นเกมเป็นอาชีพ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จเสมอไป นักกีฬาต้องหมั่นฝึกซ้อม พัฒนาฝีมือตลอดเวลา และยังต้องมีวินัยอย่างมากอีกด้วย และนอกจากนี้ อาชีพนักกีฬา Esports ก็ยังถือว่าเป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งแปรผันตรงกับผลตอบแทนที่สูงด้วยเช่นกัน และยังมีช่วงเวลาของอาชีพที่สั้น เพราะเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ประสาทสัมผัสต่างๆ จะไม่รวดเร็วเท่าตอนอายุน้อยๆ ประกอบกับมีเด็กรุ่นใหม่ที่มีฝีมือดีกว่า ซึ่งอาจจะทำให้ต้องรีไทร์ หรือ เลิกเล่น ไปเลยก็ได้



ในประเทศไทยถึงแม้การเล่นเกมอาจจะยังไม่ได้รับการตอบรับที่ดีเท่ากับในต่างประเทศ แต่เมื่อเทียบกับในสมัยก่อนแล้ว ถือว่ามีการพัฒนาเพิ่มขึ้นมาก ก็ต้องติดตามกันต่อไป ว่าวงการ Esports ไทย จะไปวงการ Esports โลกได้หรือไม่....